มะเร็งปากมดลูก เป็นเพียงโรคมะเร็งไม่กี่ชนิดที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน ผู้หญิงจึงควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคตั้งแต่ต้น แต่ก็มีเรื่องควรทราบก่อนเข้ารับวัคซีน
“ ยา “ แม้สามารถใช้รักษาทำให้หายป่วยและร่างกายรู้สึกดีขึ้นได้ แต่สิ่งสำคัญที่ควรตระหนักไว้เสมอคือ ยาทั้งหลายล้วนแล้วแต่มีอันตรายเฉกเช่นเดียวกับที่มีคุณประโยชน์ ฉะนั้น ทำอย่างไรจึงปลอดภัยจากการใช้ยา…
วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
เช็กให้ดี! “ยา-อาหารเสริม” ที่ควรกินและไม่ควรกินด้วยกัน อาจเสริมพลังหรืออันตรายต่อร่างกาย
ยาหลายๆ อย่างควรกินด้วยกันเพื่อเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน แต่กับยาบางตัวถ้ากินด้วยกัน นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างเต็มที่แล้ว ยังอาจเป็นอันตรายได้ด้วย
มีข้อมูลจาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการ ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มาฝากกัน
ยาที่ควรกินด้วยกัน เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพ และฤทธิ์ของยา
- วิตามินซี กับ คอลลาเจน เป็นอาหารเสริมที่ควรกินด้วยกัน เพื่อช่วยกันเสริมสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ผิวใสสุขภาพดีไม่หย่อนคล้อย
- วิตามินซี กับ ธาตุเหล็ก การกินวิตามินซีจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กไปใช้ในร่างกายได้ เช่น ถ้าการกินต้มเลือดหมู ควรกินทั้งเลือดหมู (ที่มีธาตุเหล็ก) และใบตำลึง (ที่มีวิตามินซี) เพื่อให้ร่างกายนำธาตุเหล็กดูดซึมไปใช้ได้ด้วย
- แคลเซียม กับ แมกนีเซียม คล้ายๆ กัน ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมไปใช้ จำเป็นต้องมีแมกนีเซียมช่วย นอกจากนี้ร่างกายยังต้องการวิตามินดี และวิตามินเคด้วย (นอกจากในอาหารเสริมแล้ว วิตามินยังอยู่ในแดดยามเช้า วิตามินเคอยู่ในผักใบเขียวเข้ม)
- วิตามินเอ ซี และ อี ควรกินด้วยกันเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน สามารถหากินจากอาหารได้เช่นกัน เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว ผักใบเขียว เช่น คะน้า และถั่วลิสง เป็นต้น
- น้ำมันปลา (ที่ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ให้เลือกชนิดที่มี DHA คู่กับ EPA อย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลัก เช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูง
ยาที่ไม่ควรกินด้วยกัน อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
- น้ำมันปลา กับ ยาแอสไพริน น้ำมันปลามีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกัน คือช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน เมื่อกินคู่กันเลยอาจทำให้เลือดไหลไม่หยุด แม้แค่กรอฟันนิดเดียวก็อาจทำให้เลือดออกได้ราวกับผ่าตัดใหญ่
- วิตามินอี และ อีฟนิ่งพริมโรส เพราะในอีฟนิ่งพริมโรสก็มีวิตามินอี หากกินด้วยกันอาจทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีมากเกินไป และอาจเป็นอันตรายต่อหัวใจได้
- แคลเซียมเสริม กับ แคลเซียมสด คือกินทั้งเป็นอาหารเสริม และอาหารที่มีแคลเซียมสูงควบคู่ไปด้วยกัน เช่น กินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ หรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีก จะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอดเลือดทำให้ตีบแข็งได้
- กาแฟ กับ แคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย
- ธาตุเหล็ก กับ ภาวะเลือดจาง หรือธาลัสซีเมีย ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก เพราะมันไม่เสมอไป หากเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริม อาจเป็นอันตรายต่อหัวใจและตับได้
ยังมีคู่ยาหรืออาหารเสริมที่ดี และเป็นอันตรายต่อร่างกายอีกมาก หากไม่แน่ใจว่าที่เรากำลังกินอยู่อันตรายหรือไม่ สามารถปรึกษาเภสัชกรตามร้านขายยาใกล้บ้าน หรือสามารถพบแพทย์ประจำตัวที่เข้ารับการรักษาอยู่เป็นประจำได้เช่นกัน
ที่มา:sanook
วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
12 สมุนไพร-ไม้หอมไทย แก้ปวดเมื่อย-คลายเครียด
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะประชาชนใช้พืชผักสมุนไพร ปรุงเป็นอาหาร และกลิ่นสมุนไพรจากธรรมชาติ เพื่อผ่อนคลายร่างกาย และจิตใจ ลดอาการตึงเครียด
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
แพทย์แนะ “วิตามิน” อะไร กินแล้วช่วยลดเสี่ยง “โควิด-19” ได้
นอกจากอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายที่เราพยายามรับประทานกันอยู่ทุกวันแล้ว หลายคนอาจจะไม่แน่ใจว่าร่างกายของเราได้รับวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรคได้มากเพียงพอหรือเปล่า จึงอยากหาตัวช่วยเป็นการรับประทาน “วิตามิน” เพิ่ม
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
“ยาเคนมผง” คืออะไร ทำไมถึงมีฤทธิ์รุนแรง อันตรายถึงชีวิต?